วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระบุตรจริงหรือ? ที่มอรมอนเชื่อ

          กลุ่มวิสุทธิชนยุคสุดท้ายหรือมอรมอน มีความเชื่อที่ต่างจากคริสเตียนกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากมอรมอนมีความเชื่อว่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระบุตร หรือเป็นพระเยซูคริสต์ ดังนั้นเมื่อเกิดข้อถกเถียงกันแน่นอน คริสเตียนควรกลับไปดูพระคัมภีร์ว่ามีคำตอบอย่างไร

         

    
พระเยโฮวาห์ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า "จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า"  (สดด. 110:1 [ThaiKJV])

ไบเบิ้ลข้อนี้ได้บันทึกไว้ว่าพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในนั่งขวามือของพระองค์ เป็นที่ทราบกันว่าผู้ที่ประทับเบื้องขวานั่นคือ พระบุตร ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่พระเยโฮวาห์จะเป็นพระบุตรอย่างที่มอรมอนเชื่อ เนื่องจากพระเยโฮวาห์เป็นผู้ตรัสเองให้อีกผู้หนึ่งประทับเบื้องขวา แล้วใครกันที่ประทับเบื้องขวาของพระเยโฮวาห์

พระบุตร(พระเยซู)ทรงเป็นแสงสะท้อนสง่าราศีของพระเจ้า(พระเยโฮวาห์) และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงสรรพสิ่งไว้โดยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระบุตร(พระเยซู)ได้ทรงชำระบาปของเราด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ได้ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงเดชานุภาพเบื้องบน(พระเยโฮวาห์)  (ฮบ. 1:3 [ThaiKJV])

จากฮิบรู1:3 ได้บันทึกยืนยันว่าพระบุตรทรงประทับเบื้องขวาพระบิดา แน่นอนพระบุตรทรงเป็นพระเยซู เมื่อกลับไปดูสดุดี 110:1 พระบุตรยังประทับเบื้องขวาของพระเยโฮวาห์ แน่แนอนพระเยโฮวาห์ไม่ใช่พระบุตร แต่ทรงเป็นพระบิดา

มอรมอนอาจจะไม่ยอมรับอีกดังนั้นมาดูข้อพระคัมภีร์ข้ออื่นๆอีกได้ ที่สนับสนุนว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระบิดา ไม่ใช่พระบุตรอยากที่มอรมอนเชื่อ

โอ ชนชาติโฉดเขลาและเบาความเอ๋ย ท่านจะตอบสนองพระเยโฮวาห์อย่างนี้ละหรือ พระองค์มิใช่พระบิดา ผู้ทรงไถ่ท่านไว้ดอกหรือ ผู้ทรงสรรค์ท่าน และตั้งท่านไว้แล้ว  (ฉธบ. 32:6 [ThaiKJV])
 
 
 
 

แน่นอนพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย แม้อับราฮัมมิได้รู้จักข้าพระองค์ และอิสราเอลหาจำข้าพระองค์ได้ไม่ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาล  (อสย. 63:16 [ThaiKJV])

โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่บัดนี้พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว และพระองค์ทรงเป็นช่างปั้น ข้าพระองค์ทุกคนเป็นผลพระหัตถกิจของพระองค์  (อสย. 64:8 [ThaiKJV])

"บุตรชายก็ย่อมให้เกียรติแก่บิดาของเขา คนใช้ก็ย่อมให้เกียรตินายของเขา แล้วถ้าเราเป็นพระบิดา เกียรติของเราอยู่ที่ไหน และถ้าเราเป็นนาย ความยำเกรงเรามีอยู่ที่ไหน นี่แหละพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสแก่ท่านนะ โอ บรรดาปุโรหิต ผู้ดูหมิ่นนามของเรา ท่านก็ว่า `ข้าพระองค์ทั้งหลายดูหมิ่นพระนามของพระองค์สถานใด'  (มลค. 1:6 [ThaiKJV])

ถึงพี่น้องมอรมอนหลักฐานที่สนับสนุนว่าพระบิดาทรงเป็นพระเยโฮวาห์มีมากกว่า ความเชื่อที่มอรมอนเชื่อว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระบุตรเสียอีก ท่านยังไม่ยอมรับอีกหรือ พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระบิดา

 
 
 
 
 
 
 
 

ตรีเอกานุภาพ

    

    ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงใช้สรรพนามพระองค์ว่า "เรา" และมื่อตรัสถึงพระองค์กับพระบิดา ก็ใช้คำว่า "เรา" เหมือนกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของพระองค์กับพระบิดาว่าทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ถ้าผู้ใดรักเรา(Me) ผู้นั้นจะรักษาคำของเรา(My Word) และพระบิดาของเรา(My Father)จะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเรา(and We)จะมาหาเขาและเราจะอยู่กับเขา(and make 0ur home with him)  (ยน. 14:23 [ThaiKJV])
 
เรา​(I)บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า เรา​(We)พูด​สิ่ง​ที่​เรา​รู้ และ​เป็น​พยาน​ถึง​สิ่ง​ที่​เรา(We)​เห็น แต่​พวก​ท่าน​ไม่​ยอมรับ​คำ​พยาน​ของ​เรา(Our) ไม่  (ยน. 3:11 )

บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงโปรดพิทักษ์รักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์(just as We are)  (ยน. 17:11 [ThaiKJV])

     พระตรีเอกานุภาพทรงเป็นหนึ่งเดียวและพระเจ้าองค์เดียวกัน ทรงประกอบด้วย พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบุตรได้ถูกส่งลงมาในโลกโดยพระบิดา ด้วยจุดประสงค์ในการช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระวิญญาณของพระบิดาและพระบุตร พระเจ้าทรงทำงานในมนุษย์โดยทางวิญญาณ

ซึ่งทรงเลือกไว้แล้วตามที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงล่วงรู้ไว้ก่อน โดยพระวิญญาณได้ทรงชำระ ให้บังเกิดความนบนอบเชื่อฟัง และให้รับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ขอให้พระคุณและสันติสุขบังเกิดทวีคูณแก่ท่านทั้งหลายเถิด  (1ปต. 1:2 [ThaiKJV])

และเราทั้งหลายได้เห็นและเป็นพยานว่า พระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรให้เสด็จมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก  (1ยน. 4:14 [ThaiKJV])

เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  (มธ. 28:19 [ThaiKJV])
 
 
 
 


 
 
 
 

 


พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามพระภาคของพระองค์มีหน้าที่ต่างกันและประสานงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในขอบเขตของความเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นปัจจุบันอยู่เป็นนิตย์ และทรงมีอำนาจเด็ดขาดโดยไม่จำกัด ถึงแม่จะทรงแยกเป็นสามพระภาค

เพื่อปฏิบัติงานตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงรู้และสัมผัสพระองค์เองได้ นั่นคือ ความที่รู้ว่าทรงดำรงอยู่ รู้ในการสำแดงและปรากฎตัวของพระองค์ รู้ในพระดำริ และความเคลื่อนไหวในการทำงานของพระองค์ภายในขอบเขตของความเป็นพระเจ้าในตัวของพระองค์อย่างสมบรูณ์ครบถ้วน
 

ตรีเอกานุภาพกับข้อพระคัมภีร์

 
แล้ว​พระ​ยาห์เวห์​พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า “ดู​สิ มนุษย์​กลาย​เป็น​เหมือน​ผู้​หนึ่ง​ใน​พวก​เรา​แล้ว โดย​ที่​รู้​ความ​ดี​และ​ความ​ชั่ว บัดนี้ อย่า​ปล่อย​ให้​เขา​ยื่น​มือ​ไป​หยิบ​ผล​จาก​ต้นไม้​แห่ง​ชีวิต​มา​กิน​ด้วย แล้ว​มี​อายุ​ยืน​ชั่ว​นิรันดร์”
(ปฐก. 3:22 [TSV]) เรา หมายถึง พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์

​มา​เถิด ให้​เรา​ลง​ไป ทำ​ให้​ภาษา​ของ​พวก​เขา​วุ่นวาย​ที่​นั่น เพื่อ​ไม่ให้​พวก​เขา​เข้าใจ​ภาษา​ของ​กัน​และ​กัน​ได้”  (ปฐก. 11:7 [TSV])

และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "เรา(I)จะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนพวกเรา(Us)" แล้วข้าพเจ้าทูลว่า "ข้าพระองค์นี่พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด" (อสย. 6:8 [ThaiKJV])




     ตั้งแต่ปฐมกาลมา พระเจ้าทรงขานพระนามของพระองค์ในรูปพหูพจน์มาโดยตลอด โดยใช้คำแสดงพระองค์ว่าเป็น

"พวกเรา" (Us) "ของพวกเรา" (Our) และ "เรา" (We)

ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น พยายามถกเถียงว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น และคนก็เรียกชื่อพระนั้นตามความเชื่อถือของเขา  และพวกเขายังพูดอีกว่าที่พระเจ้าใช้พระนามเป็นพหูพจน์นั้น ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าเท่านั้น แต่หมายถึงทูตสวรรค์ด้วย(คือพระเจ้ากับทูตสวรรค์) ถ้าเป็นจริงอย่างนั้นทำไมพระเจ้าถึงวางพระองค์ให้เสมอกับทูตสวรรค์ซึ่งพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นมา

ทูตสวรรค์ไม่มีฤทธิ์อำนาจเหนือ หรือเท่าเทียมพระเจ้าในการสำแดงการมหัศจรรย์ หรือในการสร้างจักรวาลและสิ่งใดๆ ทูตสวรรค์มิใช่ผู้สร้าง แต่เป็นผู้ที่ถูกสร้างให้มีรูปร่างสัณฐานเป็นกายวิญญาณ เขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้รับใช้พระเจ้าโดยเฉพาะ จุดประสงค์นั้นต่างกับการสร้างมนุษย์ คือ มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามพระประสงค์ของพระองค์ พวกเขามิได้แทนพระเจ้าหรือมีฤทธิ์และอำนาจเหมือนอย่างพระองค์ 



 
 
 
 
 
 
 
 

แล้ว​พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า “ให้​เรา​สร้าง​มนุษย์​ตาม​ฉายา​ของ​เรา ตาม​อย่าง​ของ​เรา​ ให้​ครอบ​ครอง​ฝูง​ปลา​ใน​ทะเล ฝูง​นก​ใน​ท้องฟ้า​และ​ฝูง​สัตว์​ใช้​งาน ให้​ปกครอง​แผ่นดิน​โลก​ทั้งหมด และ​สัตว์เลื้อยคลาน​ทุก​ชนิด​บน​แผ่นดิน​ทั้งหมด”  (ปฐก. 1:26 [TSV]) เรา หมายถึง พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สะดูสี คือใคร



กลุ่มผู้นำทางศาสนาของชาวยิวในปาเลสไตน์ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางการเมืองและมีอิทธิพลในสภายิว ตระกูลมหาปุโรหิตล้วนอยู่ในพรรคสะดูสี เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญมากในช่วง ปี 200 ก่อน ค.ศ. จนถึงปี ค.ศ.70

ในทางสังคมและการเมือง พวกสะดูสีมีจำนวนน้อยกว่าพวกฟาริสี แต่ว่าเป็นชนชั้นปกครองอย่างเช่นมหาสมณะ ซึ่งร่ำรวย แนบแน่นและพร้อมที่จะร่วมมือกับพวกโรมันเพื่อรักษาฐานอำนาจของตนไว้ ต่างจากฟาริสีซึ่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

กลุ่มนี้จะตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเยซู พวกเขาปฏิเสธคำสอนและการปฏิบัติทุกอย่าง ที่ไม่ได้บันทึกไว้ในหมวดธรรมบัญญัติ (หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม) พวกเขาไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากตายหรือการรับบำเหน็จรางวัล หรือการรับโทษหลังความตาย สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเน้นมากคือ ความมีอิสระเสรีของมนุษย์

ลักษณะและพฤติกรรมของฟาริสี

- เขาจะรักษากฏระเบียบทางศาสนาอย่างเคร่งครัด มีกฎระเบียบเรื่องการนมัสการ การทำพิธีกรรมต่างๆ
-เคร่งครัดในกฎหมายของโมเสส พวกเขาเชื่อฟังระเบียบมากกว่าทำตามคำสอนของพระเยซู

-ทำตัวเองให้ดูดีภายนอก ดูเหมือนเป็นคนมีธรรมะ

-เป็นพวกหน้าซื่อใจคต หรือไม่จริงจัง หวังแต่รักษาผลประโยชน์ของตนมากกว่าการสอนให้คนเปลี่ยนแปลงชีวิตเข้าหาพระเจ้า  ความสัมพันธ์ที่จริงใจมีน้อยลงไปทุกที

-ทำตัวให้น่านับถือในสังคม มีใจรักเงิน

-ดีแต่สอนคนอื่นแต่ตนเองทำไม่ได้

-ชอบให้คนทักและยกย่องนับถือตามที่มีคนเยอะๆ ชอบให้คนเรียกว่าอาจารย์

-ชอบเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองมากกว่า การถวายเกียรติแด่พระเจ้า

-ชอบทดสอบความรู้ทางพระคัมภีร์ของคนอื่น เพื่อให้ดูว่าตนเองรู้มากกว่าเก่งกว่า หลายครั้งชอบจัดผิดผู้อื่นมากกว่า การสนับสนุนช่วยเหลือผู้อื่นให้เจริญขึ้นการทำการงานของพระเจ้าโดยรวม

-เอาความคิดเห็นของตนเป็นมาตรฐานเพื่อวัดคนอื่น หรือตีค่าคนด้วยมาตรวัดของตนเอง

-แม้จะเห็นคนอื่นทำอิทธิฤทธิด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ไม่ยอมรับ อ้างว่าการอัศจรรย์ไม่มีแล้วในยุคนี้ หรือไม่ใช่มาจากพระเจ้า

-ไม่ยอมรับการเปิดเผยใหม่ๆ เนื่องจากพวกเขาเป็นพวกหัวเก่า ปิดหูปิดตาตนเองมานาน  เพราะกลัวว่าผู้ติดตามพวกเขาจะไปเป็นพวกของพระเยซู

-ชอบทำอะไรตามตัวอักษร สอนตามคอนเทก และเซทติ้งของพระธรรมเป็นตอนๆ สอนให้ความรู้ตามบริบท ไม่รู้จักพลิกแพลงสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้คำสอนให้เหมาะสมกับยุคสมัย ละเลยความรักและความชอบธรรม

-ด้วยหูตาที่คับแคบ ไม่เปิดโลกทรรศ์ พวกเขาทำผิดพลาดหลายๆ อย่างโดยคิดเห็นไปว่าเป็นการปกป้องศาสนา สถาบัน อาณาจักรแห่งคณะ กลุ่มของตน และสุดท้ายอ้างว่าปกป้องคริสตจักรของพระเจ้า

พระเยซูถือว่าคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้หรือคล้ายๆ พฤติกรรมของพวกฟาริสีเป็นพวกชาติชั่ว และทรยศต่อพระเจ้า  เป็นพวกงูร้าย พันธุ์อสรพิษ  จิตใจเต็มไปด้วยความโสโครก, โจรกรรมมัวเมาด้วยกิเลส เป็นเหมือนอุโมงค์ฝั่งศพฉาบด้วยปูนขาว
 

ฟาริสี คือใคร



ฟาริสี -  הפרושים  กลุ่มผู้นำทางศาสนาของชาวยิว ที่มีบทบาทสำคัญในปาเลสไตน์ เกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะประพฤติตามกฎบัญญัติทุกข้อ ที่ปรากฏในธรรมบัญญัติของโมเสส

ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ผู้นำทางศาสนาของยิวจะแบ่งออกเป็น 2 พรรคใหญ่ๆ พรรคที่มีจำนวนสมาชิกมากกว่าคือ พรรคฟาริสี อีกพรรคหนึ่งคือพรรคสะดูสี  สองพรรคนี้เกิดขึ้นในสมัยที่ประเทศกรีกปกครองปาเลสไตน์ ในราวปี 200 ก่อน ค.ศ.

พวกฟาริสีเคร่งครัดในเรื่องการถือขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเฉพาะข้อห้ามต่างๆ พวกเขาถือว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยใครเลยนอกจากพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมคบกับคนต่างชาติหรือชาวยิวที่ไม่เคร่งศาสนา พวกฟาริสีพยายามตีความบทบัญญัติและกฏเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติ ครอบคลุมถึงการดำเนินชีวิตทุกด้าน

จึงเกิดกฎบัญญัติเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยข้อที่ไม่มีในพระคัมภีร์ กลายเป็นบัญญัติข้อหยุมๆ หยิมๆ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น การถือพิธีล้างชำระ การถือศีลอดอาหาร การถวายทศางค์ การกล่าวสาบานตัว เป็นต้น พวกฟาริสีบางคนสนใจแต่เรื่องการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แต่ไม่สนใจเรื่องสภาพฝ่ายจิตวิญญาณ

พระเยซูจึงมักจะกล่าวตำหนิคนเหล่านี้อยู่เสมอ (มธ.23) ซึ่งเป็นเหตุให้ฟาริสีพวกนี้ร่วมมือกับพวกสะดูสีเพื่อวางแผนกำจัดพระองค์ พวกฟาริสีมีความเชื่อในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ได้บันทึกในหมวดธรรมบัญญัติ (หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม) เช่น การเป็นขึ้นจากตาย วิญญาณ ทูตสวรรค์ (กจ.23:6-8) และยังเชื่อว่าหนังสือเล่มอื่นๆ ในหมวดพวกผู้เผยพระวจนะ และหมวดบทกวี เป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ด้วย

หลังจากที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี ค.ศ.70 พรรคสะดูสี และพรรคเล็กๆ ค่อยๆ สูญหายไป เหลือแต่พรรคฟาริสี ทำให้ชาวยิวนับตั้งแต่ในสมัยนั้นเป็นต้นมา ต่างพยายามปฏิบัติตามแนวคำสอนของพวกฟาริสีเท่านั้น

งานของทูตสวรรค์


1. กลุ่มผู้รับใช้ในสวรรค์

ทูตสวรรค์เป็นจำนวนมากรับใช้พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่ามีจำนวนเป็นโกฎิๆ แสนๆ นับไม่ถ้วน พวกเขามีหน้าที่รับใช้พระเจ้ารอบๆ พระที่นั่งในสวรรค์ เพื่อถวายนมัสการ สรรเสริญ ถวายคำสดุดี พระเกียรติ พระสิริและฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งในสวรรค์

2. กลุ่มผู้ส่งข่าวสารในพันธสัญญาเดิม

ตั้งแต่หนังสือปฐมกาลจนถึงหนังสือมาลาคีพระเจ้าได้ทรงใช้บรรดาทูตสวรรค์หลายๆ ทางด้วยกัน พวกเขาปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้าตามพระบัญชาของพระองค์ พวกเขากล่าวพระวจนะของพระเจ้าและนำข่าวสารพระบัญชาของพระองค์โดยผ่านปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะ ผู้นำ และบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยเฉพาะ ทูตสวรรค์ ได้ปรากฎแก่บุคคลเหล่านั้นในร่างของมนุษย์หรือทางความฝันและนิมิต โดยการช่วยเหลือ เสริมกำลัง ช่วยกู้ ผู้นำทาง และปกป้องคุ้มครองคนจากอันตราย และบางครั้งก็ต่อสู้กับเหล่าศัตรูเพื่อเขา ในฐานะที่เป็นเหล่าพลโยธาของพระเจ้า บรรดาทูตสวรรค์เหล่านี้ได้ปรากฎต่อหน้าพวกศัตรูเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเพื่อให้พวกนั้นเกิดความเกรงกลัว

3. กลุ่มผู้ส่งข่าวในพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาใหม่ได้กล่าวถึงการทำงานของเหล่าทูตสวรรค์อย่างมากมาย ทูตสวรรค์เกเบรียลได้ปรากฎแก่เศคาริยาห์ชายชราผู้เป็นปุโรหิตประจำวิหารของพระเจ้าเกี่ยวกับการที่เขากับภรรยาที่อยู่ในวัยชราชื่อนางเอลีซาเบธจะมีบุตรชื่อยอห์น พระเจ้าได้ทรงใช้ทูตสวรรค์เกเบรียลปรากฎแก่มารีย์เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของนาง และการประสูติของพระเยซูโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และปรากฎแก่งโยเชฟเพื่อยืนยันถึงเรื่องนี้ ทูตสวรรค์เป็นผู้ที่กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซู



ในหนังสือกิจการ เหล่าทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติรับใช้บรรดาสาวกของพระเยซู เพื่อช่วยเหลือและหนุนใจเขาและบรรดาผู้รับเชื่อทั้งหลายในหลายๆ โอกาส เมื่อคริสเตียนตายไป ทูตสวรรค์ขอพระเจ้าจะมาคอยรับเขาแล้วพาขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อมอบเขาให้กับพระเจ้า หนังสือวิวรณ์ตลอดทั้งเล่มได้บรรยายถึงงานและหน้าที่อันสำคัญต่างๆ ของบรรดาทูตสวรรค์ เพื่อให้งานและแผนการทุกอย่างของพระเจ้าได้สำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ ตามคำพยากรณ์ที่ได้ให้ไว้ในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่

ทูตสวรรค์ ในทัศนะคริสเตียน ตอนที่ 2

ตลอดคัมภีร์ไบเบิ้ลได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในหน้าที่ของทูตสวรรค์ ในฐานะเป็นผู้รับใช้ขอพระเจ้า

และซาตานได้ทดลองพระองค์อยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้นถึงสี่สิบวัน
พระองค์ทรงอยู่ในที่ของสัตว์ป่า และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์  (มก. 1:13 [ThaiKJV])





ทูตสวรรค์เป็นทูตและเป็นผู้นำข่าวสารของพระเจ้ามาถึงมนุษย์ เราจะเห็นว่ามีหลายครั้งที่พระเจ้าได้ทรงใช้ทูตสวรรค์บางองค์ให้เป็นตัวแทน โดยเฉพาะของพระองค์ลงมาพูดกับบางคนที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้

มีหลายครั้งที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งหมายถึงพระเยซูในสถานภาพก่อนเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงปรากฎเป็นทูตของพระเจ้า บางครั้งก็ทรงปรากฎในร่างของมนุษย์ พร้อมกับทูตสวรรค์องค์อื่นๆ ทรงปรากฎกับโมเสสเป็นเปลวไฟลุกโชน หรือในเมฆหรือด้วยเสียงฟ้าร้อง หรือด้วยพระสุรเสียงในเต๊นท์นัดพบ มีบางคนคิดว่า ทูตของพระเจ้า เป็นทูตสวรรค์องค์พิเศษที่พระเจ้าทรงเลือกเป็นตัวแทนของพระองค์ในการนำข่าวสารสำคัญมาสู่มนุษย์

แต่ตามหลักฐานในข้อพระคัมภีร์หลายตอนชี้ให้เราเห็นและมั่นใจว่า ทูตของพระเจ้า ทรงเป็นพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงปรากฎแก่โยชูวาในร่างของบุรุษผู้ถือดาบ ทรงเป็นจอมพลโยธาของพระเจ้า พระเยซูทรงเป็นปฐมแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่ง และทรงปฏิบัติพระราชกิจทรงไถ่มาโดยตลอดในพันธสัญญาเดิม ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า และทูตของพระเจ้า ทรงเป็นทูตที่ปรากฎแก่อับราฮัม และฮาร์กา


พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทัศนะมุสลิม

อัลรูฮฺ อัลกุ๊ดดูซ الروح القدس. ซึ่งแปลว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์
ซึ่งมีปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ในทัศนะมุสลิม หมายถึง ผู้ทำหน้าที่สื่อสารหรือปฏิบัติงานแทนพระเจ้า ในหะดีษได้รายงานว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์คือ อัครทูตสวรรค์เกเบรียล

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด วิญญาณบริสุทธิ์ได้นำโองการอัลกรุอาน ลงมาจากพระเจ้าของเจ้าด้วยความจริง เพื่อให้บรรดาผู้ศรัทธามีความมั่นคง และเป็นทางนำ และประเสริฐแก่บรรดาผู้ศรัทธา (ซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺ อายะหฺที่ 102)

บรรดาร่อซูลเหล่านั้น เราได้ให้บางคนในหมู่พวกเขาดีเด่นกว่าอีกบางคน ในหมู่พวกเขานั้น มีผู้ทีอัลลอฮ์ตรัสด้วย และได้ทรงยกบางคนในหมู่พวกเขาขึ้นหลายขั้น และเราได้ให้บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งแก่อีซาบุตรของมัรยัม
และเราได้สนับสนุนเขาด้วยวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว บรรดาชนหลังจากพวกเขา ก็คงไม่ฆ่าฟันกัน หลังจากได้มีบรรดาหลักฐานอันชัดเจนมายังพวกเขา แต่ทว่าพวกเขาขัดแย้งกัน แล้วในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่ศรัทธา และในหมู่พวกเขานั้น มีผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว พวกเขาก็คงไม่ฆ่าฟันกัน แต่ทว่าอัลลอฮ์นั้นทรงกระทำตามที่พระรองค์ทรงประสงค์ (ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะหฺ 253)

จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ ตรัสแก่อีซาบุตรของมัรยัมว่า จงรำถึงความโปรดปรานของข้าที่มีต่อเจ้า และมารดาของเจ้า ขณะที่ข้าได้สนับสนุนเจ้า ด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์ โดยที่เจ้าพูดกับประชาชน ขณะที่อยู่ในเปลแลบะขณะที่อยู่ในวัยกลางคน และขณะที่ข้าได้สอนเจ้า ซึ่งคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบัญญัติศาสนาและอัต-เตารอตและอัล-อิน-ญีล และขณะที่เจ้าสร้างขึ้นจากดินดั่งรูปนกด้วยอนุมัติของข้า แล้วเจ้าเป่าเข้าไปในรูปนกนั้น มันก็กลายเป็นนกด้วยอนุมัติของข้า และที่เจ้าทำให้คนตาบอดแต่กำเนิด และคนเป็นโรคผิวหนังหายด้วยอนุมัติของข้า และขณะที่เจ้าทำให้บรรดาคนตายออกมาด้วยอนุมัติของข้า และขณะที่ข้าได้ยับยั้งและหันเหวงศ์วานอิสรออีลออกจากเจ้า เมื่อเจ้านำบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้วบรรดาผู้ฝ่าฝืนในหมู่พวกเขาก็กล่าวว่า สิ่งนี้มิใช่อื่นใด นอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น (ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ   อายะหฺที่ 110)

มลาอิกะห์ ทูตสวรรค์ในทัศนะมุสลิม



          ทูตสวรรค์  ملائكة มะลาอิกะหฺ ถูกสร้างจากพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทูตสวรรค์มีจำนวนมากมายตลอดจนมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่างกัน ทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทูตสวรรค์เป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ และรับใช้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วน ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงคัดเลือกทูตสวรรค์ให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง
ทูตสวรรค์ที่ปรากฎาในอัลกุรอ่านที่มีหน้าที่ต่างๆ

1.ทูตสวรรค์กาเบรียล ทูตสวรรค์หนึ่งในสิบตนที่สำคัญที่สุด กาเบรียลมีหน้าที่นำพระวจนะจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาสู่ผู้เผยพระวจนะ และเป็นทูตสวรรค์ผู้ปกป้องท่านนบีมูฮัมหมัด มุสลิมเชื่อว่าการตั้งตนเป็นศัตรูต่อทูตสวรรค์ และกาเบรียล ถือว่าเป็นผู้ปฏิเสธศาสนาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า กาเบรียลได้รับฉายาว่า วิญญาณ” “วิญญาณผู้ซื่อสัตย์และวิญญาณอันบริสุทธิ์

2.ทูตสวรรค์มิคาเอล ทูตสวรรค์แห่งความกรุณา และเป็นผู้ควบคุมระบบสุริยจักรวาล และนำความมั่งคั่งมาให้แก่ผู้ศรัทธา

3.ทูตสวรรค์ราฟาเอล ทูตสวรรค์ที่เป่าเขาและแตรเพื่อประกาศสัญญาณของวันพิพากษา

4.ทูตสวรรค์เครูป ทูตสวรรค์ผู้ดูแลสรวงสวรรค์แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

5.ทูตสววรค์มาลิก ทูตสววรค์ผู้ทำหน้าดูแลกิจการในนรก

6.ทูตสวรรค์มุนกัรฺ ทูตสวรรค์ผู้ทำหน้าที่สอบสวนคนตายในสุสาน

7.ทูตสวรรค์นะกีรฺ ทูตสวรรค์ผู้ทำหน้าที่สอบสวนคนตายในสุสาน

8.ทูตสวรรค์รอกีบ ทูตสวรรค์ผู้ทำหน้าที่บันทึกคุณงามความดีและความชั่วของมนุษย์

9.ทูตสวรรค์อะติด ทูตสวรรค์ผู้ทำหน้าที่บันทึกคุณงามความดีและความชั่วของมนุษย์

10.ทูตสวรรค์อิสรออีล ทูตสวรรค์ผู้ทำหน้าที่ถอดวิญญาณของมนุษย์และสัตว์

ทูตสวรรค์ ในทัศนะคริสเตียน ตอนที่ 1



ทูตสวรรค์ มาจากคำใน
ภาษากรีก angelos ซึ่งแปลว่า ผู้นำข่าวสาร
ภาษาฮีบรูเรียกว่า malak
ภาษาอาหรับเรียกว่า มลาอิกะห์

          ทูตสวรรค์เป็นวิญญาณ ในโยบได้ใช้คำว่า เทพบุตรทั้งหลาย หมายถึง บรรดาทูตสวรรค์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างให้มีตัววิญญาณ เป็นเหมือนบุตรผู้รับใช้ของพระพระเจ้า ในอาณาจักรสวรรค์และในโลก

พระเจ้าได้ทรงสร้างทูตสวรรค์ขึ้นมาก่อนที่จะทรงสร้างจักรวาลและมนุษย์ ทูตสวรรค์ดำรงอยู่ในตัววิญญาณซื่งไม่ได้สร้างด้วยดินเหมือนร่างกายมนุษย์  และถูกสร้างให้สูงกว่ามนุษย์เพียงหน่อยเดียวเท่านั้น  ทูตสวรรค์มีปัญญาล้ำเลิศและเป็นวิญญาณที่มีฤทธานุภาพสูงส่ง

ถึงแม้ว่าทูตสวรรค์จะมีร่างกายวิญญาณ  พวกเขาสามารถปรากฎตัวเป็นมนุษย์และพูดภาษามนุษย์ได้  สามารถกิน ดื่ม มีอารมณ์และความประสงค์ เราสามารถพบข้อความในพระคัมภีร์หลายตอนที่กล่าวถึงการปรากฎตัวของทูตสวรรค์ในร่างของมนุษย์  บางครั้งก็ปรากฎในร่างสวมเสื้อผ้าลินินสีขาวดังหิมะ ตามปกติแล้วทูตสวรรค์ปรากฎในร่างของเพศชาย  ทูตสวรรค์บางองค์ไม่มีปีก  บางองค์จะมีปีกสองปีก หรือสี่ปีก ซึ่งเรียกว่า เครูบ หรือหกปีก เช่นสัตว์สี่หน้าในพระธรรมวิวรณ์ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติจากพระเจ้า

คริสเตียน - มุสลิม ความต่างแห่งศรัทธา


คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์
อิสลามเชื่อในพระเจ้าเอกภาพ

พระเยโฮวาห์มี16 พระนาม
อัลลอฮ์ มี 99 พระนาม

คริสเตียนเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้าง 7 วัน
มุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้าง 6 วัน ไม่มีวันหยุดพัก

คริสเตียนเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าทรงสร้างอย่างไร
มุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์จากพระสิริของพระเจ้า

คริสเตียนเชื่อว่าซาตานแต่เดิมเป็นทูตสวรรค์เป็นผู้นำนมัสการบนสวรรค์ 
มุสลิมเชื่อว่าซาตานเป็นสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ซึ่งไม่ใช่ทูตสวรรค์ แต่เป็นญินสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างจากไฟ

คริสเตียนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปตั้งแต่เกิด
มุสลิมเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาในสภาพที่สะอาดบริสุทธิ์ มนุษย์อยู่ในสภาวะยอมจำนนต่อเจตนารมณ์และกฎของพระเจ้า 

คริสเตียนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็นบาป และต้องได้รับการไถ่บาปโดยต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากบาป ซึ่งรับด้วยปากเชื่อด้วยใจ
มุสลิมเชื่อว่าเมื่อทำบาปแล้วต้องสารภาพบาปต่อพระเจ้า และควรทำดีก่อนจากโลกนี้สู่โลกหน้า

คริสเตียนเชื่อว่ามนุษย์ที่ได้รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จะได้รับความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์
มุสลิมเชื่อว่ามนุษย์ที่ได้รับอิสลาม และปฏบัติตามบัญญัติศาสนาจะได้รับความรอดสู่สวรรค์

คริสเตียนเชื่อในไบเบิ้ลซึ่งประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม ที่มีความสอดคล้องกัน ซึ่งได้รับการดลใจจากพระเจ้าในการบันทึกมุสลิมไม่ยอมรับคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งพันธสัญญาเดิมและใหม่ เพราะได้โดนแก้ไขเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับเดิม
มุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานคัมภีร์เล่มสุดท้าย คือ อัลกุรอ่าน ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่พระเจ้าทรงประทาน และพระเจ้าทรงสัญญาจะปกป้องคัมภีร์เล่มนี้

คริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงประสูติในคอกสัตว์
มุสลิมเชื่อว่าพระเยซูประสูติที่โคนต้นอินทผลัม

คริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน
มุสลิมเชื่อว่าพระเยซูไม่ได้ถูกตรึงกางเขน แต่เป็นยูดาสที่ถูกตรึงกางเขน

คริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตร และพระเจ้า
มุสลิมเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นมนุษย์ที่ได้รับเลือกเป็นผู้เผยพระวจนะแห่งพระเจ้า